ทำความรู้จักโรคพิษสุนัขบ้าในคน ภัยร้ายจากน้องแมวที่แสนรัก
"โรคพิษสุนัขบ้า" เป็นโรคติดเชื้อที่มีอันตรายถึงชีวิต และสามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ โรคนี้ยังคงเป็นหนึ่งในโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคพิษสุนัขบ้าอย่างละเอียด ทั้งสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุและการแพร่เชื้อ
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "Rabies virus" ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม Rhabdoviridae เชื้อไวรัสนี้สามารถพบได้ในน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น สุนัข แมว ลิง ค้างคาว และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ การแพร่เชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด ข่วน หรือเลียบาดแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สุนัขและแมว
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า
อาการของโรคพิษสุนัขบ้ามีการพัฒนาเป็นระยะเวลา โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ได้แก่
1. ระยะฟักตัว (Incubation Period): มักมีระยะฟักตัวนานประมาณ 1-3 เดือน แต่สามารถนานถึง 6 เดือน หรือมากกว่านั้นได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของบาดแผลที่ถูกกัดและปริมาณของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย
2. ระยะป่วย (Clinical Stage): อาการในระยะนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
- แบบคลาสสิก (Furious Rabies): ผู้ป่วยจะมีอาการกระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน มีอาการทางประสาท เช่น กลัวน้ำ กลัวแสง และมีอาการชักเกร็ง
- แบบเงียบ (Paralytic Rabies): ผู้ป่วยจะมีอาการอัมพาต เริ่มจากการอ่อนแรงของขาหลัง และค่อย ๆ ลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จนถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิต
อาการทั่วไปที่อาจพบได้ในระยะป่วย ได้แก่:
- มีไข้สูง
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการชัก
- กล้ามเนื้อกระตุก
- ความกลัวน้ำและแสง (Hydrophobia and Photophobia)
การวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้า
การวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้ามักจะทำได้ยาก เนื่องจากอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถวินิจฉัยได้โดย:
- ซักประวัติการสัมผัสสัตว์ที่มีความเสี่ยง เช่น สุนัข แมวที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- การตรวจเลือด เพื่อหาแอนติบอดีต่อไวรัส
- การตรวจเนื้อเยื่อสมอง ในกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว โดยการตรวจชิ้นเนื้อสมองเพื่อหาการมีไวรัสในเซลล์สมอง
การรักษาโรคพิษสุนัขบ้า
เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้ามีอัตราการเสียชีวิตสูง การรักษาโรคนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น ดังนี้:
1. การทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine): การฉีดวัคซีนในกรณีที่มีการถูกสัตว์ที่สงสัยติดเชื้อกัดหรือข่วน โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน
2. การให้เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Immune Globulin, RIG): การให้เซรุ่มนี้ช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีน
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
1. การฉีดวัคซีนให้กับสัตว์เลี้ยง: การฉีดวัคซีนให้กับสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสุนัขและแมว เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่มีความเสี่ยง:โดยเฉพาะสัตว์ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น สุนัขหรือแมวที่มีอาการล่าเหยื่อหรือไม่กลัวคน
3. การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์หมัดและสัตว์ที่มีความเสี่ยง: การกำจัดหมัดและสัตว์ที่เป็นพาหะนำเชื้อในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
4. การดูแลสุขอนามัยและความสะอาด: หมั่นล้างมือหลังจากสัมผัสสัตว์ และทำความสะอาดบาดแผลทันทีหากถูกสัตว์กัด
บทสรุป
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต หากไม่รีบเข้ารับการรักษา ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนให้กับสัตว์เลี้ยงและการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่มีความเสี่ยง การดูแลสุขอนามัยและการรักษาบาดแผลอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคนี้
อย่าลืมว่าการตระหนักถึงความเสี่ยงและการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง:
- Centers for Disease Control and Prevention. (2023). Rabies. Retrieved from https://www.cdc.gov/rabies/index.html
- World Health Organization. (2020). Rabies. Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/rabies
- OIE. (2020). Manual of Diagnostic Tests and Vaccines for Terrestrial Animals. World Organisation for Animal Health.
- Koprowski, H. (2003). Rabies: Scientific Basis of the Disease and Its Management. Elsevier Health Sciences.